เรามักเห็นรถตู้เปิดไซเรนวิ่งผ่านไปเพื่อช่วยเหลือผู้คน แต่รู้ไหมว่ารถตู้เหล่านี้ไม่ใช่แค่รถตู้ธรรมดาที่ติดไฟวับวาบ แต่มีการแบ่งประเภท มีมาตรฐานอุปกรณ์ และมีระเบียบข้อบังคับที่เคร่งครัด เพื่อให้มั่นใจว่าทุกชีวิตที่อยู่บนรถจะได้รับความปลอดภัยสูงสุด บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ "รถตู้กู้ชีพ" ในทุกแง่มุม ตั้งแต่ประเภทของรถ อุปกรณ์ภายใน ไปจนถึงมาตรฐานที่ต้องมีครับ
เจาะลึก รถตู้กู้ชีพ คืออะไร อุปกรณ์ต้องมี และประเภทที่คุณควรรู้
"รถตู้กู้ชีพ" (Ambulance Van) คือ ยานพาหนะที่ถูกดัดแปลงและติดตั้งอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อใช้ในการลำเลียงผู้เจ็บป่วยหรือผู้ประสบอุบัติเหตุส่งโรงพยาบาล โดยมีเป้าหมายหลักคือการ "รักษาชีวิต" และ "ป้องกันความพิการ" ระหว่างการนำส่ง
ในประเทศไทย รถตู้ถือเป็นรถยอดนิยมที่สุดที่นำมาทำเป็นรถกู้ชีพ (โดยเฉพาะ Toyota Commuter) เนื่องจากมีพื้นที่ห้องโดยสารกว้างขวาง สามารถติดตั้งเตียงผู้ป่วยและอุปกรณ์การแพทย์ได้ครบครัน และมีสมรรถนะเครื่องยนต์ที่ดีในการทำความเร็ว
ประเภทของ "รถตู้กู้ชีพ" แบ่งตามระดับความรุนแรง
รถตู้กู้ชีพไม่ได้เหมือนกันทุกคันนะครับ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ได้แบ่งประเภทรถปฏิบัติการฉุกเฉินตามขีดความสามารถ ดังนี้:
1. รถปฏิบัติการฉุกเฉินระดับต้น (Basic Life Support - BLS)
-
ลักษณะ: มักเป็นรถของมูลนิธิ หรือ อบต. ทั่วไป
-
ภารกิจ: ให้ความช่วยเหลือผู้เจ็บป่วยที่ไม่รุนแรงถึงชีวิต หรือนำส่งผู้ป่วยไประหว่างโรงพยาบาล
-
อุปกรณ์: มีอุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้น, ถังออกซิเจน, เฝือกดาม, อุปกรณ์ทำแผล และเครื่องวัดสัญญาณชีพพื้นฐาน
-
บุคลากร: ต้องผ่านการอบรมหลักสูตรพนักงานฉุกเฉินการแพทย์ (EMT) หรืออาสาสมัคร (EMR)
2. รถปฏิบัติการฉุกเฉินระดับสูง (Advanced Life Support - ALS)
-
ลักษณะ: มักเป็นรถของโรงพยาบาล หรือหน่วยกู้ชีพขั้นสูง (รถพยาบาลที่มีคำว่า "Advanced" หรือ "Mobile ICU")
-
ภารกิจ: ช่วยเหลือผู้ป่วยวิกฤต ที่เสี่ยงต่อการเสียชีวิต
-
อุปกรณ์: เปรียบเสมือน "ห้อง ICU เคลื่อนที่" มีเครื่องช่วยหายใจอัตโนมัติ (Ventilator), เครื่องกระตุกหัวใจ (Defibrillator), เครื่องติดตามสัญญาณชีพขั้นสูง (Monitor) และมียาฉุกเฉินครบครัน
-
บุคลากร: ต้องมีแพทย์ หรือ พยาบาลวิชาชีพ หรือนักปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์ (Paramedic) ประจำรถ
ภายใน "รถตู้กู้ชีพ" ต้องมีอุปกรณ์อะไรบ้าง?
การจะเป็นรถกู้ชีพที่ถูกต้องตามมาตรฐาน ไม่ใช่แค่ติดไซเรนแล้วจบ แต่ภายในต้องมีการติดตั้งอุปกรณ์ตามที่กฎหมายกำหนด หลักๆ ได้แก่:
-
ห้องโดยสาร: ต้องมีการกั้นแยกส่วนระหว่าง "ห้องคนขับ" และ "ห้องพยาบาล" เพื่อป้องกันการติดเชื้อและความปลอดภัย
-
เตียงผู้ป่วย (Stretcher): ต้องเป็นเตียงที่มีล้อเลื่อน ปรับระดับได้ และมีตัวล็อกยึดติดกับพื้นรถอย่างแน่นหนา (ตามมาตรฐาน 10G) เพื่อไม่ให้เตียงหลุดเมื่อรถเบรกกะทันหันหรือเกิดอุบัติเหตุ
-
ระบบออกซิเจน (Oxygen Pipeline): ต้องมีการเดินท่อก๊าซออกซิเจนอย่างปลอดภัย มีถังออกซิเจนขนาดใหญ่ยึดติดแน่นหนา และมีชุดจ่ายออกซิเจนที่หัวเตียง
-
ระบบไฟและปลั๊กไฟ: มีไฟส่องสว่างเพียงพอสำหรับทำหัตถการ และมีปลั๊กไฟสำหรับเสียบเครื่องมือแพทย์ (ต้องมี Inverter แปลงไฟที่มีคุณภาพ)
-
อุปกรณ์ช่วยชีวิตพื้นฐาน: เครื่องดูดเสมหะ, เครื่องวัดความดัน, เฝือกลม/เฝือกดามคอ (Collar), และเครื่อง AED (ในบางคัน)
ทำไมต้องเป็น "Toyota Commuter"
เมื่อพูดถึงรถตู้กู้ชีพในไทย เกือบ 90% คือ Toyota Commuter (โตโยต้า คอมมิวเตอร์) เหตุผลหลักๆ คือ:
-
ขนาดห้องโดยสาร: กว้างและสูงพอที่เจ้าหน้าที่จะยืนหรือก้มทำงานปั๊มหัวใจ (CPR) ได้สะดวก
-
ความทนทาน: เครื่องยนต์ดีเซลทนทาน รองรับการใช้งานหนักและการวิ่งระยะไกล
-
อะไหล่และการซ่อม: หาง่าย ซ่อมได้ทุกอู่ ซึ่งสำคัญมากสำหรับรถที่ต้องพร้อมใช้งานตลอด 24 ชั่วโมง
เรื่องต้องรู้: กฎหมายและการขออนุญาต
ใครที่คิดจะซื้อรถตู้มาทำรถกู้ชีพ หรือบริจาค ต้องรู้เรื่องนี้ครับ การนำรถมาติดไซเรนและวิ่งรับส่งผู้ป่วย ต้องทำให้ถูกกฎหมาย:
-
การรับรองมาตรฐาน: รถต้องผ่านการตรวจสภาพและรับรองมาตรฐานจาก สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.)
-
การขออนุญาตใช้ไฟและเสียง: ต้องขออนุญาตจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อติดตั้งสัญญาณไฟวับวาบ (ไซเรน) และเสียงสัญญาณ
-
การทำประกันภัย: รถพยาบาลต้องทำประกันภัยภาคบังคับและภาคสมัครใจ ที่ครอบคลุมอุบัติเหตุในขณะปฏิบัติหน้าที่
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Q1: รถตู้กู้ชีพ ขับฝ่าไฟแดงได้ไหม? A: ตามกฎหมาย รถฉุกเฉินที่เปิดสัญญาณไฟและเสียง มีสิทธิพิเศษ ในการใช้ทาง (เช่น ขับเร็วเกินกำหนด, ผ่านสัญญาณไฟแดง) แต่ "ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ" และคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ร่วมทางเป็นหลัก หากเกิดอุบัติเหตุโดยประมาท พนักงานขับรถก็ยังต้องรับผิดชอบตามกฎหมายครับ
Q2: อยากบริจาครถตู้กู้ชีพ ต้องใช้งบเท่าไหร่? A: ราคามีความหลากหลายมากครับ
-
เฉพาะตัวรถ (ป้ายแดง): ประมาณ 1.2 - 1.3 ล้านบาท
-
ค่าตกแต่งภายในและอุปกรณ์: เริ่มต้นตั้งแต่ 300,000 บาท (ระดับพื้นฐาน) ไปจนถึง 1-2 ล้านบาท (ระดับ ALS/ICU ขั้นสูง)
-
รวมแล้ว: คันหนึ่งอาจตกอยู่ที่ 1.6 - 3 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่เลือกใส่ครับ
Q3: รถตู้ทั่วไป เอามาติดไซเรนวิ่งรับคนป่วยได้ไหม? A: ไม่ได้ครับ ผิดกฎหมายจราจรและกฎหมายสถานพยาบาล การจะเป็นรถกู้ชีพต้องขึ้นทะเบียนกับหน่วยงานต้นสังกัด (เช่น โรงพยาบาล หรือมูลนิธิ) และต้องผ่านการตรวจสอบมาตรฐานเท่านั้น
"รถตู้กู้ชีพ" ไม่ใช่แค่พาหนะขนส่ง แต่คือเครื่องมือช่วยชีวิตที่มีความสำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง การเลือกใช้รถที่มีมาตรฐาน อุปกรณ์ครบครัน และบุคลากรที่ผ่านการฝึกอบรม คือหัวใจสำคัญที่จะทำให้ผู้ป่วยรอดชีวิต
สำหรับผู้ใจบุญที่ต้องการบริจาค หรือหน่วยงานที่ต้องการจัดหา การศึกษาข้อมูลเรื่อง "มาตรฐานรถกู้ชีพ" จึงเป็นสิ่งที่ละเลยไม่ได้ เพื่อให้เงินทุกบาทของคุณได้สร้างประโยชน์ในการช่วยชีวิตคนได้อย่างแท้จริงครับ
อ่านบทความเกี่ยวกับสินเชื่อรถกระบะเพิ่มเติมได้ ที่นี่ ข้อมูลเว็บสินเชื่อรถยนต์จากธนาคารแห่งประเทศไทย